29 พฤศจิกายน 2551

ดื่มเหล้าอย่างไร ให้ห่างไกลโรคร้าย

ดื่มเหล้าอย่างไร ให้ห่างไกลโรคร้าย
ปัจจุบันไม่ว่าเทศกาลรื่นเริงหรือโศกเศร้า มักจะมีเหล้าอยู่ในงานเหล่านั้นเสมอ
เรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยไปเสียแล้ว การดื่มเหล้าในปริมาณเล็กน้อย
จะทำให้ครึ้มอกครึ้มใจ สนุกครื้นเครงได้ แต่หากดื่มจนควบคุมสติไม่ได้ จะทำให้ส่งผลเสียต่อ
ตนเองและบางทีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย
จากการศึกษา พบว่าโทษของการดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิด
การสะสมในร่างกายทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว เช่น สมองจะถูกทำลาย
ความจำเสื่อม สมองฝ่อ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ทารกในครรภ์มารดาพิการ หลอดเลือดหัวใจตีบ
กระเพาะอาหารและลำไส้เกิดการอักเสบ ตับถูกทำลายทำให้ตับแข็ง และตามมาด้วยอาการดีซ่าน
หรือตัวเหลืองตาเหลือง ท้องมาน เป็นต้น
นอกจากนี้การดื่มสุราติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้ร่างกายขาดวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย
หลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน บี ซึ่งจำเป็นต่อการบำรุงระบบประสาทและรักษาสมดุลการเผาผลาญใน
ร่างกาย การดื่มสุราจะไปลดความอยากรับประทานอาหาร ทำให้รับประทานได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกาย
มีโอกาสขาดสารอาหารสูงกว่าคนปกติ นอกจากนั้น แอลกอฮอล์ยังไปเพิ่มการใช้วิตามิน บีในร่างกายเพื่อการ
เผาผลาญ ขณะเดียวกันก็ไปลดการดูดซึมวิตามินบีเข้าสู่ร่างกายด้วย ดังนั้นผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำมีโอกาส
ขาดวิตามิน บี สูงมาก อาการที่แสดงให้เห็น ได้แก่ อาการเหน็บชา สมองไม่ปลอดโปร่ง ความคิดและการตอบ
สนองช้าลง และเมาค้างในตอนเช้า
ผู้ที่ดื่มเหล้าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับประทาน วิตามิน บี เสริมในปริมาณสูง
ผลกระทบของพิษแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับสามารถแบ่งได้ 3 ระยะ คือ
1. ภาวะไขมันสะสมในตับ เป็นระยะแรกของการเกิดปัญหากับตับจากการดื่มแอลลกอฮอล์ โดยเป็น
การสะสมของไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งระยะนี้ยังไม่แสดงอาการใดๆ
2. ตับอักเสบ เริ่มมีอาการจุกแน่นบริเวณชายโครงขวา ตัวเหลือง ไข้สูงตลอดจนตับวายได้ และมีอาการ
ทางสมอง คือสับสนวุ่นวาย หรือหมดสติ
3. ตับแข็ง เป็นระยะสุดท้าย ที่พบว่าจะมีพังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ท้องมานหรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ
ผู้ที่ดื่มเหล้าจำเป็นต้องรับประทานวิตามิน บีเสริมแล้ว ควรจะรับประทานเสริมสารสกัดธรรมชาติที่
ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ตับให้ดีขึ้น และเพิ่มปริสิทธิภาพการกำจัดสารพิษ และการเผาผลาญของตับ อีกด้วย ได้แก่
- รากของสมุนไพรแดนดิเลียน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ ทำให้ตับหลั่งน้ำดีมาย่อยอาหาร
ประเภทไขมันได้ดีขึ้น และช่วยลดผลข้างเคียงจากยาที่ถูกทำลายที่ตับ ป้องกันความบกพร่องของระบบการทำงาน
ของตับ
- เมทไธโอนีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จับกับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อตับได้ ช่วยชะลอการเสื่อมของเนื้อตับ
และยังมีส่วนในการสังเคราะห์โปรตีนและสารที่จำเป็นต่อขบวนการขจัดพิษที่ตับ เช่น กลูตาไธโอน
- ซิลิเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ไปจับกับสารพิษต่างๆโดยเฉพาะโลหะหนัก และยังเพิ่มประสิทธิภาพ
การทำงานของเอนไซม์ขจัดสารพิษของตับ ช่วยลดความรุนแรงของปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดพิษต่อตับได้
- น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นหลายชนิดในการเผาผลาญอาหาร
ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทไขมัน และช่วยปรับสมดุลกรดด่างในลำไส้ ลดปัญหา
อาหารไม่ย่อย ท้องอืดจึงช่วยลดภาวะการติดเชื้อในลำไส้ได้
- เลซิติน เป็นสารสกัดจากถั่วเหลือง จะมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ เนื่องจากสารสำคัญใน
เลซิตินที่ชื่อว่า ฟอสฟาติดิลโคลีน จะเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้รับสารเคมี สารพิษ ยา และแอลกอฮอล์
รวมทั้งฟอสฟาติดิลโคลีนในเลซิติน จะช่วยซ่อมแซมและลดการทำลายเซลล์ตับ จึงช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับตับจาก
การดื่มแออกอฮอล์ได้ ดังนั้นการได้รับเลซิตินที่เพียงพอจะมีส่วนช่วยให้การทำงานของตับเป็นไปอย่างปกติ ควรรับประทาน
เลซิตินในปริมาณ 1,200 - 3,600 มิลลิกรัม/วัน

ในทางการแพทย์ แนะนำว่าหากท่านชอบดื่มเหล้า ไม่ควรเกิน 2 - 3 ฝาต่วัน ท่านที่ชอบดื่มเบียร์ก็ไม่ควรเกินวันละ
1 กระป๋อง และสำหรับท่านที่ชอบดื่มไวน์ ควรดื่มเพียงวันละ 1 แก้ว

ที่มา http://creamacne.weloveshopping.com/shop/show_article.php?shopid=18149&qid=37494‏

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น